การโดนดูถูกนั้นไม่อาจเลี่ยงได้ แต่ที่สำคัญคือตัวเองไม่ดูถูกตัวเอง

การโดนดูถูกนั้นไม่อาจเลี่ยงได้ แต่ที่สำคัญคือตัวเองไม่ดูถูกตัวเอง

การโดนดูถูกนั้นไม่อาจเลี่ยงได้ แต่ที่สำคัญคือตัวเองไม่ดูถูกตัวเอง ดังที่พ่อเคยบอกว่า การดูถูกของคนอื่นนั้นเป็นเรื่องชั่วคราว ลูกผู้ชาย เพียงแต่พากเพียร สิ่งที่คนอื่นมีได้ เราเองก็มีได้

…พ่อที่เก็บหมันโถว…

เมื่อผมอายุ 16 ได้สอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่ดีที่สุดในตัวอำเภอได้ ว่ากันว่า การสอบเข้าโรงเรียนนั้นได้ก็เท่ากับก้าวขาข้างหนึ่งเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว

พ่อผมดีใจมาก กำชับอย่างหนัก อยากให้ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในวันหน้า อนาคตจะได้นั่งโต๊ะไม่ต้องลงไปย่ำโคลนทำนาอีก

ประจวบเหมาะกับญาติคนหนึ่งที่เดิมอยู่ในตัวอำเภอจะย้ายไปอยู่ในตัวจังหวัด พวกเขาอยากจะให้พ่อไปช่วยดูแลบ้าน ยังเสนอพ่อว่า

ไปเลี้ยงหมูในอำเภอซึ่งเป็นเส้นทางสู่ความร่ำรวย เพราะในอำเภอคนมาก ระดับการบริโภคก็สูง ราคาจะดีกว่าขายในหมู่บ้านชนบทแน่นอน

พ่อรับปากอย่างยินดี หนึ่งคือมันเป็นวิธีที่ดีจริง อีกหนึ่งคือจะได้ดูแลผมด้วย

……….

เมื่อจบภาคแรกของมัธยมปลาย พ่อก็สร้างคอกหมูในอำเภอเสร็จเรียบร้อย ซื้อลูกหมูเข้าคอก วันธรรมดาผมอยู่หอพักที่โรงเรียน

วันเสาร์ก็กลับไปอยู่กับพ่อ ช่วยพ่ออนุบาลลูกหมู ให้พ่อมีเวลากลับบ้านไปขนอาหารหมู หมูค่อยๆ โตขึ้น

อาหารจากที่บ้านก็หมด อาหารที่ญาติส่งให้ก็ร่อยหรอลงไป เงินจะซื้ออาหารแต่ละวันก็ไม่มี วันวันพ่อได้แต่กลัดกลุ้มกังวล

ผมเองก็ร้อนใจ แต่ตอนนั้นก็คิดอะไรไม่ออก วันหนึ่งผมไปกินอาหารที่โรงอาหาร เห็นเพื่อนหลายคนโยนหมันโถว

เทอาหารเหลือทิ้งกัน ผมคิดขึ้นได้ทันใดว่า เก็บเศษอาหารพวกนี้ไปเลี้ยงหมูคงดีไม่น้อย น่าจะลดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ

ผมกลับบ้านไปพูดกับพ่อ พ่อดีใจจนตบเข่าฉาดๆ บอกว่าเป็นความคิดที่ดีมากๆ วันรุ่งขึ้นเขาก็ไปเก็บหมันโถวกับเศษอาหารที่โรงเรียน

ผมเองดีใจที่ช่วยพ่อแก้ปัญหาได้ ไม่คิดว่าต่อมาสิ่งนี้มันจะนำความกลัดกลุ้มมาให้ผมไม่รู้จบ ด้วยผ้าโพกศีรษะดำๆ เสื้อผ้ามอซอสกปรกเปื้อนคราบ

มือที่หยาบกร้านเพราะกรำงานหนักของพ่อ กลายเป็นเป้าให้เพื่อนนักเรียนจำนวนมากล้อเลียนหัวเราะเยาะทันที

พวกเขาเรียกพ่อด้วยชื่อที่เหยียดหยามต่างๆ เช่น “หัวหน้าพรรคยาจก” “ก้อนยางสีดำ” เป็นต้น

ผมเองเป็นเด็กที่เดินออกมาจากหมู่บ้านชนบท ไม่เคยหวั่นกลัวความยากลำบาก ไม่กลัวหกล้มเจ็บปวดแต่อย่างใด

แต่กลับกลัวถูกดูถูก ดีที่เพื่อนๆ ยังไม่รู้ว่านั่นคือพ่อผม ผมเองพยายามหลบพ่อ เมื่อพ่อมา ผมจะหลบไปไกลๆ ความกลัวที่คนอื่นจะรู้และกลัวถูกดูถูกในใจผมแรงขึ้นทุกวัน

ในที่สุด ก็ตัดสินใจบอกพ่อในวันหนึ่งว่า “พ่ออย่าไปอีกเลย เกิดมีใครรู้ เขาจะหัวเราะเยาะผม…”

ความยินดีบนหน้าพ่อหายวับไปทันที ในความมืดของค่ำคืน มีเพียงแสงสีแดงวูบๆ จากกล้องยาสูบของพ่อ ผ่านไปนานมาก

พ่อจึงพูดว่า “พ่อยังคงไปนั่นแหละ แต่จะไม่ทักทายแกก็แล้วกัน ช่วงนี้ หมูกำลังโต ขาดอาหารไม่ได้” ผมได้ยินดังนั้น

ผมน้ำตาร่วงทันที พ่อ ผมขอโทษ ผมรักพ่อจริงๆ แต่พ่อก็ไปเก็บหมันโถวที่โรงเรียน ผมกลัวถูกดูถูกน่ะพ่อ!

วันต่อๆ มา พ่อยังคงไปเก็บหมันโถว ผมเรียนหนังสือของผมไปเงียบๆ อยู่กันไปอย่างสงบ ผมมักเห็นพ่อไปเหม่อมองไปที่บอร์ดติดประกาศคะแนนที่โรงเรียน

ดีที่ชื่อผมจะอยู่ต้นๆ เสมอ ผมคิดว่าคงพอปลอบใจพ่อได้บ้าง ในการสอบไล่ภาคฤดูหนาวปี 1996 ผมสอบได้ที่สามของชั้นปี

และยังได้เขียนบทความจำนวนมาก ทำให้มีชื่อขึ้นทันที ในห้องจัดประชุมผู้ปกครอง ครูบอกว่า บอกให้พ่อมาด้วย

ผมก็ตกใจมาก ไม่รู้ว่าเมื่อคนอื่นรู้ว่าคนเก็บหมันโถวคนนั้นคือพ่อผมเองแล้วจะหัวเราะเยาะผมอย่างไร

ผมเดินฝ่าหิมะกลับบ้าน บอกพ่อว่า “พ่อก็อย่าไปเลย ผมจะบอกครูว่าพ่อไม่สบาย…” สีหน้าพ่อดูไม่ได้เลย แต่ไม่ได้พูดอะไร

วันรุ่งขึ้น ผมฝ่าลมหนาวหิมะวิ่งไปโรงเรียน เข้าไปนั่งในห้องเรียน การประชุมผู้ปกครองเริ่มขึ้น เสียงปรบมือกับเสียงหัวเราะดังไม่หยุด แต่ผมใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ในใจเหน็บหนาวเย็นเยียบ พ่อจ๋า ทำไมพ่อต้องเป็นชาวนา ต้องมาเก็บหมันโถวที่โรงเรียนเล่า!

ผมไม่มีจิตใจฟังการสนทนาของครูกับผู้ปกครอง เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง สวรรค์! พ่อ พ่อที่เก็บหมันโถวของผมยืนอยู่นอกห้องเรียน

นิ่งฟังการพูดคุยของครูกับผู้ปกครอง เสื้อบุนวมดำๆ ของพ่อนั้นหิมะปกคลุมหนา น้ำตาผมพรั่งพรูออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง รีบวิ่งออกจากห้องเรียน ไปลากพ่อเข้ามา บอกครูว่า “นี่พ่อผม”

เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว …

ระหว่างทางกลับบ้าน พ่อยังคงหาบหมันโถวกับอาหารที่เก็บมาสองถัง พ่อบอกว่า

“ที่จริงแกไม่ควรต้องรู้สึกด้อย การดูถูกของคนอื่นนั้นเป็นเรื่องชั่วคราว ลูกผู้ชาย เพียงแต่พากเพียร สิ่งที่คนอื่นมีได้ เราเองก็มีได้”

หลังจากนั้น ไม่มีใครหัวเราะเยาะพ่ออีก กลับช่วยกันเอาอาหารเหลือมาเทใส่ถังเหล็กใบใหญ่ของพ่อเอง

เดือนกันยายนปี 1997 พ่อส่งผมมาเรียนที่มหาวิทยาลัยในจังหวัด การแต่งตัวสีสันฉูดฉาดของชาวชนบทดูขัดตาในรั้วมหาวิทยาลัย

แต่ใจผมนิ่งเหมือนน้ำ ไม่มีความหวาดหวั่นว่าจะถูกดูถูกเลยแม้แต่น้อย เพราะผมเข้าใจแล้วว่า ในโลกนี้ การถูกดูถูกนั้นไม่อาจเลี่ยง ที่สำคัญคือตัวเองไม่ดูถูกตัวเอง

ดังที่พ่อบอกว่า การดูถูกของคนอื่นนั้นเป็นเรื่องชั่วคราว ลูกผู้ชาย เพียงแต่พากเพียร สิ่งที่คนอื่นมีได้ เราเองก็มีได้

ขอบคุณเรื่องราวดีๆ : Jelly Walker